เชื่อหรือไม่หลายสิ่งที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้ เป็นผลจากความผิดพลาดโดยแท้โดยความผิดพลาดที่โด่งดังเป็นที่รู้จักมากที่สุดคือ การค้นพบทวีปอเมริกาของคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส
อันดับ 5 เตาไมโครเวฟ (The Microwave Oven)
เตาไมโครเวฟ คลื่นไมโครเวฟ ที่ใช้ในการอบข้าวโพดคั่วร้อนๆ นี้ ครั้งหนึ่งเคยเป็นอาวุธสงครามมาก่อน เพอร์ซี สเปนเซอร์ (Percy LeBaron Spencer) เป็นวิศวกรทำงานด้านเทคโนโลยีเรดาร์ในบริษัทเรธีออน (Raytheon) ตอนนั้นเขากำลังประดิษฐ์แมกนีตรอนสำหรับระบบเรดาห์เพื่อใช้ในสงครามโลกครั้งที่ 2 จนกระทั้งวันหนึ่งในขณะที่เขากำลังทำงานอยู่กับเรดาร์อยู่นั้น เขาเกิดสังเกตซ็อกโกแลตในกระเป๋าเสื้อของเขาเกิดละลาย ซึ่งแทนทีเขาจะคิดว่าอากาศร้อนมั้งที่ทำให้ละลาย เขากลับคิดว่าต้องมีรังสีที่ล่อนหนแน่ๆ เลยที่ทำให้ “มันสุก” ทันใด
และแล้วเขาก็เริ่มทดลอง โดยอาหารชนิดแรกที่อบโดยตู้อบไมโครเวฟ คือ ข้าวโพดคั่ว และ ชนิดที่สองคือ ไข่ ผลทดลองปรากฏว่าได้ข้าวโพดคั่วอร่อยหอมกรุ่น ส่วนไข่นั้นเกิดระเบิดตูม!!! ในปี ค.ศ. 1946 เรธีออน ได้จดสิทธิบัตรกระบวนการใช้คลื่นไมโครเวฟในการอบอาหาร ต่อมาในปี ค.ศ. 1947 เรธีออกก็ได้ผลิตเตาอบไมโครเวฟเครื่องแรก เพื่อการพาณิชย์ ชื่อ Radarange ซึ่งมีขนาดใหญ่ สูงถึง 6 ฟุต (1.8 เมตร) และ หนัก 750 ปอนด์ (340 กิโลกรัม) ซึ่งสูงกว่าเตาอบไมโครเวฟที่เราใช้กันทุกวันนี้ ถึง 3 เท่า การประดิษฐ์นี้ประสบความสำเร็จทางการตลาดมาก และพัฒนาจนเป็นเตาไมโครเวฟที่ใช้ในครัวเรือนจนถึงทุกวันนี้
อันดับ 4 กาวตราช้าง (Krazy Glue and/or Super Glue)
เรื่องราวของกาวตราช้างหรือไซยาโนอะคริเลต (cyanoacrylate)ไซยาโนอะคริเลตเป็นหนึ่งในสารยึดติด เริ่มขึ้นในปี 1942 แฮร์รี คูเวอร์ (Harry Coover)และอีสต์แมน โคแด็ก (Eastman Kodak) กำลังทำงานในโกดังของบริษัทอาวุธแห่งหนึ่ง (น่าจะใช่) งานของพวกเขาคือวิจัยค้นคว้าการผลิตเลนส์พลาสติกสำหรับลำกล้องของอาวุธปืนเพื่อใช้ในสงครามโลกครั้งที่ 2
การทำงานดันผิดพลาดเล็กน้อยเมื่อวัสดุที่พวกเขาสร้างขึ้นกลายเป็นว่าทำให้เครื่องมือและอุปกรณ์ที่เคยบรรจุหรือจับวัสดุนั้นยึดติดกันหมด และไม่ได้แก้ปัญหาเรื่องเลนส์เลย
ไซยาโนอะคริเลตออกขายสู่ตลาดอุตสาหกรรมเป็นครั้งแรกในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1955 โดยใช้ชื่อผลิตภัณฑ์ว่า แฟลชกลู (Flash Glue) ซึ่งยังคงมีการขายอยู่กระทั่งปัจจุบัน
ไซยาโนอะคริเลตในฐานะกาวแบบแห้งเร็วได้รับการจดสิทธิบัตรในปี ค.ศ. 1956 และออกขายสู่ตลาดผู้อุปโภคบริโภคในชื่อ อีสต์แมน 910 ใน ค.ศ. 1958 กาวชนิดใหม่นี้ได้แสดงประสิทธิภาพสู่สายตาสาธารณชนในรายการโทรทัศน์ I've Got a Secret โดยมีแกร์รี มัวร์ (Garry Moore) เป็นดารารับเชิญ ซึ่งมัวร์นั้นถูกดึงขึ้นกลางอากาศด้วยแผ่นเหล็กกล้าสองแผ่นโดยใช้ อีสต์แมน 910 เพียงหนึ่งหยดเท่านั้น
อันดับ 3 กระจกนิรภัย (Safety Glass)
กระจกนิรภัยคือแก้วที่ใช้เป็นส่วนประกอบของรถยนต์และอาคารบ้านเรือน แนวคิดของกระจกที่แม้แต่กระสุนเจาะไม่เข้านี้ มาจากอุบัติเหตุแท้ๆ เมื่อค.ศ.1903 นักเคมีชาวฝรั่งเศสชื่อว่า นายเฮ็ดวาร์ด เบเนดิกตัส (Edouard Benedictus) ชายคนหนึ่งที่ทำงานคล่องแคล่วก่อนที่จะมาสะดุดเมื่อเขาเกิดไปชนแก้วทดลองตกลงพื้น ขวดแก้วแตก แต่เหลือเชื่อเมื่อเขาสังเกตว่าชินส่วนของขวดแก้วกลับไม่แตกกระจายจากกันเลย
เบเนดิกตัสแปลกใจในสิ่งที่เห็นตรงหน้า เขาจึงวิเคราะห์ทันที จึงรู้ว่าขวดแก้วนี้ก่อนตกแตกนั้น ได้บรรจุสารละลายของพลาสติกเหลว ซึ่งสารนี้ได้ระเหยไปในอากาศช้าๆ คงทิ้งพลาสติกเคลือบแก้วเอาไว้
เบเนดิกตัสนำผลการค้นคว้านี้ไปเสนอให้บริษัทรถยนต์แห่งหนึ่ง ให้สร้างกระจกหน้าของรถเป็นกระจกเคลือบพลาสติก เพื่อช่วยลดอันตรายจากการอุบัติเหตุ แต่บริษัทรถยนต์แห่งนั้นไม่สนใจ เพราะคิดว่าอุบัติเหตุเป็นเรื่องของคนขับรถไม่ใช่เรื่องของบริษัท อีกอย่างทางบริษัทก็ไม่ต้องการเพิ่มค่าใช้จ่ายในการลงทุน
ผลการค้นคว้าของเบเนดิกตัสเกือบลงหลุมแล้วแท้ๆ ถ้าไม่เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ขึ้น เมื่อกองทัพสหรัฐอเมริกาได้นำสารเคลือบพลาสติกมาเคลือบหน้ากากทหารเพื่อป้องกันหน้ากากแตก นั่นแหละบริษัทรถยนต์แห่งนั้นจึงได้ตระหนักถึงความผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่ และสนใจเรื่องกระจกนิรภัยอีกครั้ง จนพวกมันถูกนำมาติดกับรถใน ค.ศ.1918 และช่วยผู้คนนับหมื่นๆ ล้านรอดพ้นจากอุบัติเหตุจนถึงถึงปัจจุบัน
อันดับ 2 เพนนิซิลิน (Penicillin)
อเล็กซานเดอร์ เฟลนมิง (Alexander Fleming ) นักวิจัยชุลชีววิทยาชาวสก็อต เขาอาจเป็นคนขี้หลงขี้ลืมนิดหน่อย แต่กระนั้นเขาก็เป็นคนแรกที่ค้นพบสิ่งสุดยอดที่รู้จักกันมากที่สุดในศตวรรตที่ 20 นามเพเนซีลีนหรือยาปฏิชีวนะ
ในวันนั้นเป็นปี ค.ศ.1928 ที่ประเทศอังกฤษ ในขณะที่อเล็กซานเดอร์ เฟลนมิงกำลังเพาะเชื้อแบคทีเรียสแตฟไฟไลคอกโคบนจานแก้วในห้องแล็บนั้น จู่ๆ เขาเกิดคิดได้ว่าเขาติดทำธุระบนชั้นสองเขาออกไปข้างนอกโดยลืมที่จะทำความสะอาดโต๊ะทำงานของเขาและลืมปิดฝาจานแก้วไว้ ทำให้เชื้อราชนิดหนึ่งที่เฟลนมิ่งเก็บไว้ บังเอิญปลิวลอยตามลมและตกลงบนจานเพาะนั้น
วันรุ่งขึ้น เฟรนมิงพบว่าพื้นที่จุดหนึ่งบนจานว่างเปล่าไร้แบคทีเรียเมื่อวิเคราะห์ดูแล้วจึงรู้ว่าเพนนิซิลินในเชื้อราได้สังหารแบคทีเรียดังกล่าว
อันดับ 1 ไวอากร้า (Viagra)
แรกเดิมทีเดียว ยาไวอากร้ามีชื่อสามัญว่า Sildenafil ทางแผนกวิจัยของบริษัทไฟเซอร์ได้ผลิตขึ้นมาเพื่อผลประโยชน์ในการรักษาโรค Angina (เจ็บหน้าอก เนื่องจากเส้นเลือดหล่อเลี้ยงหัวใจตีบตัน) เพราะยาตัวนี้ช่วยขยายเส้นเลือดทำให้เลือดไหลผ่านไปได้ แต่ผลการทดลองปรากฏว่า ตัวยาไม่ขยายเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจให้ผลดังเป้าหมาย แต่กลับไปขยายเส้นเลือดที่บริเวณองคชาตของผู้ชายทำให้เลือดไปคั่งบริเวณนั้น ยังผลให้เกิดการแข็งตัวอยู่นาน.............
และนื้คือจุดเริ่มต้นของไวอากร้า
นับจากนั้นเป็นต้นมาไวอากร้า กลายเป็นตัวยายอดนิยมที่มีสถิติการจำหน่ายสูงสุดนำหน้ายาขนานอื่นในสหรัฐอเมริกาเอง นับตั้งแต่การวางตลาดเมื่อวันที่ 10 เมษายน จนถึงสิ้นปี ค.ศ.1998 ประชาชนชาวอเมริกันซื้อยานี้หมดเงินมากกว่า 441 ล้านเหรียญดอลลาร์ บริษัทไฟเซอร์ (Pfizer) คาดว่ายอดจำหน่ายแต่ละปีในสหรัฐอเมริกาจะตกประมาณ 600 ล้านเหรียญดอลลาร์ และในทวีปยุโรปรวมทั้งแถบเอเชียคงมียอดขายใกล้เคียงกับจำนวนนี้เช่นกัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น