วันอาทิตย์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2556

10 อันดับตราสัญลักษณ์มูลค่าสูงที่สุดในโลก






อันดับ 10 ของตราสัญลักษณ์ที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก คือ “China Mobile” มีมูลค่าอยู่ที่ 55,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ





อันดับ 9 ของตราสัญลักษณ์ที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก คือ “Visa” มีมูลค่าอยู่ที่ 56,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ







อันดับ 8 ของตราสัญลักษณ์ที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก คือ “Marlboro” มีมูลค่าอยู่ที่ 69,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ







อันดับ 7 ของตราสัญลักษณ์ที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก คือ “Microsoft” มีมูลค่าอยู่ที่ 70,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ







อันดับ 6 ของตราสัญลักษณ์ที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก คือ “AT&T” มีมูลค่าอยู่ที่ 76,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ







อันดับ 5 ของตราสัญลักษณ์ที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก คือ “Coca-Cola” มีมูลค่าอยู่ที่ 78,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ










อันดับ 4 ของตราสัญลักษณ์ที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก คือ “McDonald’s” มีมูลค่าอยู่ที่ 90,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ








อันดับ 3 ของตราสัญลักษณ์ที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก คือ “IBM” มีมูลค่าอยู่ที่ 113,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ







อันดับ 2 ของตราสัญลักษณ์ที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก คือ “Google” มีมูลค่าอยู่ที่ 114,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ








อันดับ 1 ของตราสัญลักษณ์ที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก ”Apple” ด้วยมูลค่าสูงลิบลิ่วถึง 185,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ


วันศุกร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2556

10 สุดยอดการประหารสมัยใหม่


อันดับ 10 Lethal Injection


ภาพจากห้องฉีดยาพิษที่ Huntsville ในเท็กซัส

      การฉีดยาพิษเข้าเส้นเลือดเรียกได้ว่าเป็น วิธีที่ทันสมัยที่สุดเท่าที่มีบทลงโทษแล้ว มันเป็นวิธีประหารชีวิตที่ประเทศไทยได้นำไปใช้ แล้วใช้เวลาตายรวดเร็วที่สุด

      ระหว่างที่นักโทษ จะมีการเตรียมการทำใจแต่เนินๆ มีการเปลี่ยนเสื้อผ้า อาบน้ำฝักบัว กินอาหารมือสุดท้าย สวดมนต์ ฟังธรรม ฯลฯ จากนั้นนักโทษจะถูกมัดไว้กับรถเข็น โดยมีสายน้ำเกลือสองสาย (สายหลักและสำรอง) ปักอยู่ในแขนแต่ละข้าง สารพิษที่ใช้นั้นแม้จะแตกต่างกันไปในแต่ละที่ แต่กระบวนการพื้นฐานที่ต้องดำเนินก็คือ

      ขั้นแรกเป็น การฉีดยาสลบ (โซเดียม Thiopental) ซึ่งเป็นยาชาสำหรับผ่าตัดปริมาณที่ใช้ประมาณ 150 Mg แต่ ใครจะไปสนปริมาณมากล่ะในเมื่อมันจะตายอยู่แล้ว

      จากนั้นก็ฉีดยาให้กล้ามเนื้อหยุดทำงาน (Bromide Pancuronium) หรือเรียกอีกอย่างคือ Pavulon เป็นยาที่ทำให้กล้ามเนื้อที่ควบคุมซี่โครงและกระบังลมหยุดทำงาน เหลือเพียงหัวใจที่ยังเต้นอยู่ ลมหายใจของนักโทษจะอ่อนลงเรื่อยๆ ยานี้ให้ผลใน 1-3 นาที ปริมาณการแพทย์ที่ใช้ปกติ 40-100 Mg แต่สำหรับนักโทษใช้ 100 Mg ขึ้นอยู่กับ ความต้องการ

      ขั้นตอนสุดท้ายเป็นการฉีดสารพิษให้หัวใจหยุดเต้น (โพแทสเซียม คลอไรด์) โดยมากนักโทษจะ ‘ไป’ ภายใน 6-13 นาที อย่างไรก็ตาม แม้ภายนอกจะดูเหมือนเป็นการ ‘ไป’ อย่างสงบ แต่ภายในนั้น ทั้งปอดและอวัยวะภายในอื่นๆ ของนักโทษต่างก็บิดเบี้ยวเนื่องจากขาดออกซิเจน

      สุดท้ายเจ้าหน้าที่จบกระบวนการประหารด้วยการนำศพเข้าห้องเย็นในอุณหภูมิ -18 องศาเซลเซียส นาน 12 ชั่วโมง ก่อนที่ศพจะถูกส่งไปยังครอบครัวของนักโทษหรือรัฐเพื่อนำไปประกอบพิธีกรรมทางศาสนาต่อไป



อันดับ 9 The Electric Chair



ภาพเก้าอี้ไฟฟ้าที่คุกซิงซิง

      เก้าอี้ไฟฟ้าถูกคิดค้นโดยฮาโรลด์ บราวน์ ลูกจ้างโดยโทมัส เอดิสัน เพื่อวัตถุประสงค์เพียงอย่างเดียวคือแข่งกับเทสซ่าในการใช้กระแสไฟสลับในการ ฆ่าสิ่งมีชีวิต และทางการอเมริกาเกิดสนใจสิ่งประดิษบ์นี้ก่อนมีการพัฒนาเป็นเก้าอี้ไฟฟ้าที่ เห็นกันในปัจจุบันโดยนักโทษที่ได้รับการประหารนี้เป็นคนแรกคือ William Kemmler (1890)

      ในช่วงแรกๆ ที่มีการใช้เก้าอี้ไฟฟ้า สังหารนักโทษในนิวยอร์กเมื่อปี 1830 นั้น หลายคนเชื่อว่าวิธีนี้เป็นวิธีที่มีเมตตามาก เพราะมันเหมือนกับว่านักโทษถูกฆ่าด้วยแรงที่มองไม่เห็น

      สิ่งสำคัญในการใช้เก้าอี้ไฟฟ้า คือต้องจับนักโทษผูกติดกับเก้าอี้ให้แน่นหนา จากนั้นต่อขั้วไฟฟ้าเข้าสองขั้ว ขั้วหนึ่งต่อเข้าไปที่หมวกหนังที่บุทองเหลือไว้ โดยใช้ฟองน้ำที่จุ่มน้ำทะเลหรือน้ำเกลือจนโชกรัดไว้ด้วย ส่วนขั้วไฟฟ้าอีกขั้นเป็นแถบทองเหลืองหรือตะกั่ว ใช้ร่วมกับฟองน้ำชุบน้ำเกลือชุ่ม รัดเข้าที่น่องซึ่งโกนขนหน้าแข้งแล้วของนักโทษ

      ว่ากันว่าก่อนการประหาร เจ้าหน้าที่ต้องเอาหน้ากากหนังปิดหน้านักโทษไว้ โดยรัดให้แน่นบริเวณเหนือดวงตา เพื่อไม่ให้ลูกตาของนักโทษกระเด็นหลุดออกมาเมื่อกระแสไฟฟ้าเข้าสู่ร่างกาย

      กระแสไฟฟ้าสังหารชีวิตนักโทษ ด้วยการเข้าไปทำลายขั้วแม่เหล็กในสมอง รวมถึงโครงสร้างประสาทของก้านสมอง ทำให้อุณหภูมิสมองทะลุเดือด สูงถึง 280-284 องศาเซลเซียส นอกจากนี้กระแสไฟฟ้ายังเข้าไปทำลายอวัยวะภายใน ทำให้ร่างของนักโทษเป็นเหมือนกับหลอดไฟ ที่มีกระแสไฟฟ้าไหลวนอยู่ภายใน

      สำหรับกระแสไฟฟ้าขนาดไหนถึงจะให้คนตายได้นั้น ได้หลักการแล้วกระแสไฟฟ้าที่ทำให้เสียชีวิตได้คือ 0.06-0.1 แอลป์ กระแสสลับหรือ 0.3-0.5 แอมป์กระสตรง ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ แต่ละแห่งนั้นจะใช้กระแสไฟฟ้าไม่แน่นอน ยกตัวอย่างที่เรือนจำ Greenville รัฐ เวอรจีเนีย ใช้กระแสไฟฟ้า 1825 โวลท์ กระแส 7.5 แอมป์ เป็นเวลา 30 วินาที แล้วลดเหลือ 240 โวลท์ 1.5 แอมป์ เป็นเวลา 60 นาที



อันดับ 8 Gas Chamber



ภาพห้องแก๊สในรัฐมิสซิสซิปปี้

      การประหารลักษณะนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากการใช้แก๊สพิษประหารนักโทษในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง และโด่งดังที่สุด คือห้องรมแก๊สในค่ายคุกเยอรมันในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยใช้ประหายชาวยิวกว่าล้านคน ซึ่งเป็นการประหารชีวิตคนที่เลวร้ายที่สุดของประวัติศาสตร์ของมนุษย์ในศตวรรษที่ 20

      การประหารโดยการรมแก๊สพิษนี้ยังคงมีอยู่ในประเทศอเมริกา ซึ่งบางรัฐนักโทษสามารถเลือกได้ว่าจะให้ฉีดยาพิษหรือจะรมแก๊สพิษดี และนอกเหนือจากอเมริกาแล้วยังมีบางประเทศที่มีการใช้วิธีการประหารชีวิตนี้อยู่คือเกาหลีเหนือ (จากคำบอกเล่าของพยาน)

      วิธีการประหารรมแก๊สในอเมริกานั้นจะมีห้องที่ปิดมิดชิดนักโทษจะถูกเข้าไปข้างใน และนักโทษจะถูกผูกไว้กับเก้าอี้ในห้องที่ผนึกแน่นจนอากาศเข้าไม่ได้ เจ้าหน้าที่ลงมือด้วยการเปิดวาล์ว ปล่อยกรดไฮโดรคลอริกหรือซัลฟิวริก เข้าไปในถาดที่วางไว้ข้างใต้เก้าอี้ จากนั้นจึงปล่อยเกลือไซยาไนด์ราวแปดออนซ์เข้าไปในกรด จนทำให้เกิดแก๊สไฮโดรไซยานิก

      แก๊สตัวนี้ยับยั้งไม่ให้เฮโมโกลบินในเลือด นำออกซิเจนไปส่งให้เซลล์ในร่างกาย ผลก็คือเซลล์จะขาดออกซิเจน และนักโทษจะเสียชีวิตภายใน 2-8 นาที ในลักษณะที่ลำตัวบิดเบี้ยวเพราะขาดออกซิเจน จึงต้องมีการตรวจสอบโดยแพทย์ก่อนเพื่อยืนยันว่าตายจริง



อันดับ 7 Single Person Shooting



      รูปที่คุณเห็นเป็นภาพนายตำรวจคนหนึ่งกำลังใช้ปืนยิงผู้ต้องสงสัยคนหนึ่งที่คิดว่าเป็นคนเวียดกง ภาพโดยเอ็ดดี้ อดัมส์ ในปี 1968 มันเป็นวิธีประหารแบบง่ายๆ แต่ได้ใจในหลายๆ คน แค่ใช้ปืนอะไรก็ได้มาจ่อจุดตายของนักโทษแล้วลั่นไก

      การกระทำโดยการยิงจ่อหัวแบบเดี่ยวๆ นี้เป็นวิธีพบเห็นบ่อยมาก ของการประหารที่ใช้กว่า 70 ประเทศทั่วโลก ส่วนใหญ่ประเทศเหล่านี้ใช้วิธีประหารนี้ทันทีที่พบนักโทษ ไม่ว่าจะเป็นทหารและไม่ใช้ทหาร โดยไม่มีการไต่สวนหรือขังใดๆ ทั้งสิ้น ที่โซเวียตจะใช้วิธีจ่อปืนด้านหลังศีรษะนักโทษ ไม่เว้นแม้กระทั้งจีนที่สามารถใช้ปืนยิงที่คอและหัวนักโทษได้ และในอดีตรัฐบาลจีนยังเคยให้ครอบครัวของนักโทษจ่ายค่ากระสุนสำหรับประหารอีก ด้วย ในไต้หวันนักโทษจะถูกฉีดยาชาเพื่อให้เขาหมดสติก่อนที่กระสุนปืนจะแล่นเข้าสู่หัวใจของเขา



อันดับ 6 Firing Squad



ภาพการประหาร Antonio Echazarreta ในเม็กซิโก ปี 1913

      การยิงเป้าแบบทีมยิงถือได้ว่าเป็น การประหารที่เป็นเกียรติมากที่สุดของอาชญากรสงครามแล้วก็ว่าได้

      วิธีการก็ง่าย คือจับนักโทษมามัดให้แน่นอยู่กับที่ อาจผูกติดเสา หรือผูกติดกับเก้าอี้ ใช้ผ้าปิดตา จากนั้นก็เรียกทหารที่ถูกตั้งเป็นทีมกลุ่มหนึ่ง เพื่อทำการประหารระดมยิงไปที่นักโทษเป็นอันเสร็จพิธี

      ในประเทศอเมริกามีสองรัฐที่มีการประหารแบบนี้อยู่ ที่ไอดาโฮและโอกลาโฮมา ส่วนรัฐยูทาห์เคยมีการบันทึกการประหารนี้ในปี 1861 โดยนักโทษประหารชื่อวิลเลี่ยม จอห์นสัน (William Johnson) ฐานหนีทัพ จอห์นสันถูกยิงหลายครั้งที่หัวใจตายในการระดมยิงครั้งแรก



อันดับ 5 Hanging



ภาพการประหารเด็กวัยรุ่น17 และ 18 ปี ในประเทศ อิหร่าน ข้อหารักร่วมเพศ

      การแขวนคอเป็นการประหารที่นิยมเป็นอันดับ 2 ของโลก ปัจจุบันมีประเทศกว่า 78 ประเทศใช้วิธีการประหารนี้ เพราะว่านั้นเป็นวิธีการลงทัณฑ์ที่ดูจะรวดเร็ว ประหยัดและทำให้นักโทษเจ็บปวดน้อยที่สุด... หากทำอย่างถูกวิธี

      การแขวนคอมีหลายวิธีแล้วในแต่และประเทศ เช่นญี่ปุ่นจะมีบันไดใช้แทนตะแลงแก’เรียกว่า “บันได 13 ขั้น” ที่อิหร่านจากภาพจะเห็นรูปตะแลงแกงแบบเตียงและเอามาประจานให้คนอื่นดูไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติมีการใช้วิธีประหารนี้ประหารอาชญากรสงครามนาซีเป็นจำนวนมาก และรายล่าสุดที่เรียกเสียงอื้อฮาจากทั่วโลกก็คือ การแขวนคอนายซัดดัม ฮุนเซ็น อดีตผู้นำอิรัก ในปี 2007

      การประหารชีวิตโดยแขวนคอแบบมาตรฐานต้องยกให้อังกฤษ เนื่องจากเขามีการวางแผนการเตรียมพร้อมการประหารนี้อย่างละเอียด ก่อนการลงมือ เจ้าหน้าที่ต้องเตรียมการโดยเอาเชือกที่จะใช้ไปต้มในน้ำเดือดเพื่อให้ตัว เชือกหมดความยืดหยุ่นเสีย จากนั้นก็ติดตั้งบนตะแลงแกง เชือกจะถูกดึงแล้วดึงอีก เพื่อให้แน่ใจว่าไม่ยืดหยุ่นแล้วจริงๆ ส่วนตัวบ่วงที่จะถูกนำไปคล้องขอนักโทษ โดยให้รอยขมวดอยู่ด้านหลังใบหูข้างซ้ายนั้น จะถูกขมวดรอบๆ 13 ขดเป็นมาตรฐาน

      ตัวนักโทษนั้นจะต้องสวมผ้าคลุมหัว และมัดแขนมัดขาเพื่อไม่ให้ใช้มือหรือเท้าเหนี่ยวพื้นเอาไว้ได้ เมื่อผู้ประหารเปิดประตูกลให้ตัวนักโทษหล่นลง ตามทฤษฎีแล้ว ทันทีที่ทิ้งน้ำหนักลงไปจนสุดปลายเชือก กระดูกสันหลังของที่สามหรือสี่ของนักโทษจะเคลื่อนออกจากกัน ทำให้เสียชีวิตในทันที

      แต่สิ่งที่ยากที่สุดในการแขวนคอก็คือ การจัดระยะความยาวเชือก ถ้าเชือกสั้นเกินไปนักโทษอาจต้องตะเกียกตะกายอยู่ในสภาพหายใจไม่ออกอยู่นาน เกือบสิบนาที แต่หากเชือกยาวเกินไป แรงดึงอาจทำให้นักโทษถึงกับหัวขาด ซึ่งก็เป็นภาพอันน่าสยดสยองพอๆ กัน ดังนั้นที่อังกฤษจริงได้มีการจดบันทึกในการคะเนความยาวของเชือกในการประหาร แก่นักโทษคนๆ นั้น โดยใช้น้ำหนักของนักโทษเป็นเกณฑ์ นอกจากนี้ยังมีการซ้อมการประหารโดยใช้กระสอบทรายแทนนักโทษเพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดในการประหารจริง



อันดับ 4 Beheading



ภาพการตัดสินพิพากษาที่ 15 Dhahian Rakan-Sibai’I ซึ่งทำการประหารในปี 2007

      การตัดหัวนั้นเป็นวิธีที่ไทยเคยใช้และได้รับยกเลิกเพราะมันโหดร้าย แต่กระนั้นการประหารนี้ยังคงมีอยู่ในปัจจุบันในบางประเทศที่มีกฎหมายอิสลาม เช่น โซมาลี ซาอุดิอาระเบีย

      การตัดหัวที่พบเห็นบ่อยที่สุดในประเทศที่มีกฎหมายมุสลิม คือการประหารโดยใช้ดาบวงพระจันทร์ ในประเทศซาอุดิอาระเบียจะทำการประหารนี้ที่ใจกลางเมือง ในนครเจดาห์ คืนวันศุกร์ในที่สาธารณะนอกมัสยิดหลักของเมือง หลังจากละหมาด ต่อหน้าทุกคนที่ชุมนุมกันมาดู (ผมดูสารดดีที่ใจกลางประหารที่พื้นจะมีช่อง ระบายน้ำสำหรับกวาดเลือดที่ไหลออกจากตัวของนักโทษลงไป) การลงโทษนี้ใช้สำหรับนักโทษ ที่ลงมือกระทำข่มขืน, ฆาตกรรม, ยาเสพติด และปฏิเสธความเชื่อทางศาสนา

      เนื่องด้วยมันเป็นดาบวงพระจันทร์ มันไม่ใช้ดาบหนักๆ ที่มีพลังทำลายมาก ดังนั้นมีอยู่บ่อยครั้งที่นักโทษประหารไม่ตายในดาบเดียว ทำให้เพชฌฆาตต้องลงดาบ ซ้ำหลายครั้งจนกว่าหัวจะหลุดจากบ่า

      วิธีการประหารตัดหัวของประเทศซาอุได้จุดประเด็น เรื่องสิทธิมนุษยธรรมจากนานาๆ ประเทศอย่างมากมาย เนื่องจากมีนักโทษอายุน้อยที่ตายในการประหารชีวิตแบบนี้ด้วย ซึ่งในภาพคือ Dhahian Rakan-Sibai’I เขาถูกตัดหัวในขณะอายุ 18 ปีเท่านั้น



อันดับ 3 Guillotine



ภาพข้างบนเป็นการ ประหาร ยูจีน เว็ดแมนน์ (Eugene Weidmann) ฆาตกรสังหาร 5 ศพ บุคคลสุดท้ายที่ถูกประหารชีวิตด้วยกิโยติน โดยถูกตัดศีรษะเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน ค.ศ. 1939 เวลา 16.32 น. ภายนอกคุก Saint-Pierre rue Georges Clemenceau 5 ที่เมืองแวร์ซายส์

      กิโยตินเป็นเครื่องมือประหารที่ ใช้ตัดตัดคอนักโทษ ประกอบด้วยโครงที่ส่วนมากจะเป็นไม้ ใบมีดรูปสี่เหลี่ยมคางหมู น้ำหนักประมาณ 40 กก. จะถูกแขวนไว้ในส่วนบนสุด ภายใต้ใบมีดจะเป็นส่วนที่ให้ผู้ถูกลงโทษวางศีรษะ เมื่อเชือกได้ถูกปล่อยหรือตัดลง ใบมีดที่หนักจะหล่นลงไม้ในระยะทางประมาณ 2.3 เมตร และตัดศีรษะผู้ถูกประหาร (ความสูงและน้ำหนักตามมาตรฐานกิโยตินฝรั่งเศส) บุคคลต้นคิดการประหารนี้คืออองตวน หลุยส์ (Antoine Louis) สมาชิกของกลุ่ม Académie Chirurgical โดยเครื่องกิโยตินตอนแรกได้ใช้ชื่อว่า หลุยซอง (Louison) หรือ หลุยเซท (Louisette) แต่ได้ถูก เปลี่ยนชื่อเป็น "กิโยติน" ตามชื่อของ ดร.โจเซฟ-อิกเนซ กิโยติน (Joseph-Ignace Guillotin) แพทย์ชาวฝรั่งเศสเป็นผู้เสนอแนะการประหารชีวิตโดยการตัดคอ ภายหลัง ดร.กิโยติน ได้เปลี่ยนนามสกุล เนื่องจากไม่ต้องการใช้ชื่อสกุล เป็นคำเดียวกับวิธีการประหารชีวิต การใช้เครื่องกิโยตินแทนการประหารชีวิตแบบเก่า โดยเหตุผลในการตัดคอ มีหลายครั้งที่ตัดคอไม่สำเร็จในดาบแรก ทำให้เกิดความทรมานต่อผู้ถูกประหารชีวิต การใช้กิโยตินจะทำให้ผู้ถูกประหารชีวิตเจ็บปวดน้อยที่สุด ก่อนการปฏิวัติฝรั่งเศสผู้มีชื่อเสียงจะถูกตัดคอโดยดาบหรือขวาน ในขณะที่ชาวบ้านทั่วไปจะถูกแขวนคอ หรือวิธีการประหลาดต่างๆ ในช่วงของยุคกลาง (เช่น ถูกเผา หรือมัดกับล้อไม้) ในช่วงปฏิวัติฝรั่งเศส มีผู้ถูกประหารชีวิตด้วยกิโยตินอย่างน้อย 20,000 คน โดยการประหารด้วยกิโยตินถือเป็นที่สนใจของบุคคลทั่วไปเช่นกัน

      ถึงแม้ว่าประเทศฝรั่งเศสได้ชื่อว่าเป็นประเทศแรกที่ใช้การประหารชีวิตด้วยกิโยติน นิโคลัส เจ. เพลเลทีเยร์ (Nicolas J. Pelletier) โจรปล้นสัญจรถูกประหารชีวิตด้วยกิโยตินเป็นคนแรกเมื่อวันที่ 25 เมษายน ค.ศ. 1792 แต่ ในช่วงเวลาใกล้เคียงกันในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16 สหราชอาณาจักร มีเครื่องลงโทษลักษณะที่คล้ายกันชื่อ จิบบิต (gibbet) และมีเครื่องลงโทษลักษณะคล้ายกันใน ประเทศอิตาลี และ สวิตเซอร์แลนด์

      กิโยตินถือเป็น เครื่องประหารชนิดเดียวที่ถูกกฎหมาย จนกระทั่งยกเลิกกฎหมายประหารชีวิตในปี ค.ศ. 1981



อันดับ 2 Stoning 



ภาพการปาหินใน อิหร่าน

      การใช้หินขว้างจนตายคือการลงโทษที่โบราณที่สุดที่ยังคงหลงเหลือในปัจจุบัน ในอิหร่าน มัวริทาเนีย ปากีสถาน ซาอุดิอาระเบีย ซูดาน อัฟกานีสถาน ไนจีเรีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และเยเมน โดยเฉพาะประเทศที่มีกฎหมายอิสลามจะถูกบันทึกอย่างละเอียดในการประหารชนิดนี้

      ในประเทศอิหร่านมีการกำหนดการประหารนี้ในมาตราที่ 104 เรียกว่ากฎหมายของ Hodoud ใช้สำหรับกาเมสุมิจฉาจาร (การที่ชายหญิงมีเพศสัมพันธ์กันโดนไม่ได้แต่งงาน แต่ก็มีกรณีที่ยกเว้นเหมือนกันคือถ้าเป็นเด็กวัยรุ่นจะถูกโบย 100 ครั้งในที่สาธารณะ) และอาชญากรรมอื่นๆ โดยมีวิธีที่เหมือนๆ กันคือ เอาตัวนักโทษมาฝังทราย โดยถ้าเป็นชายให้ฝังดินถึงเอว ส่วนฝ่ายหญิงให้ฝังเหลือถึงไหล่ เพื่อให้เจ้าทุกข์หรือฝูงชนใช้ก้อนหินที่ทางการจัดไว้ข้างใส่ที่ศีรษะจนขาด ใจตาย (บางรายสมองไหลเลยก็มี) โดยก้อนหินนั้นจะต้องมีขนาดพอเหมาะ ไม่ใหญ่เกินไปเพื่อไม่ให้นักโทษตายทันที ควรกำหนดเป็นก้อนกรวดแต่ต้องทำให้บาดเจ็บสาหัส

      ล่าสุดมีการถ่ายวีดีโอการประหารปาหินที่อิหร่าน เมื่อ Jaffar Kiani ตายจากการโดนปาหินฐานกาเมสุมิจฉาจาร จนถูกประณามจากคนทั่วโลก พร้อมกับมีการเรียกร้องให้ยุติการประหารนี้ (จากสถิติในปี 2007 อิหร่านทำสถิตลงโทษประหารชีวิตมากกว่าประเทศอื่นๆ ในโลก พอๆ กับจีนที่มีสถิตประหารชีวิตถึง 317 ราย)
อีกราย หนึ่งที่โด่งดังที่สุดคืออามินา ลาวาล (Amina Lawal) ผู้หญิงชาวมุสลิมอายุ 31 ปี อาศัยอยู่ทางตอนเหนือของไนจีเรีย ถูกพิพากษาเมื่อเดือนมีนาคม 1972 โดยศาลชาริอะห์ (Shariah) ของศาสนาอิสลาม พิพากษาตัดสินให้ประหารชีวิตเธอด้วยการขว้างก้อนหินใส่ ในข้อหาที่เธอมีความสัมพันธ์ทางเพศกับผู้ชายที่ไม่ไช่สามีที่ถูกต้องตาม กฎหมาย (having sex outside of marriage) แต่ผลสุดท้ายทั่วโลกต่างกดดันรัฐบสลไนจีเรียผลสุดท้ายเธอก็รอดจากการประหาร ในที่สุด



อันดับ 1 Garrote



ภาพข้างบนคือการประหารแบบ Garrote ในกรุงมะลิกา ในปี 1901

      ผมว่าเป็นการประหารที่ทรมานที่สุดของการประหารในยุค 19 แล้วมั้ง กับการประหารแบบ บีบปลอกคอเหล็ก เป็นวิธีการประหารที่ไม่ได้อนุมัติตามกฎหมายของประเทศเทศใดประเทศหนึ่งโดยเฉพาะ แม้ว่าการประหารนี้จะมีการฝึกอบรมในประเทศฝรั่งเศส โดย Garrote เป็นอุปกรณ์สำหรับรัดคอ และยังสามารถใช้ตัดหัวของนักโทษได้ อุปกรณ์นี้เคยถูกใช้ในสเปน จนกระทั่งถูกยกเลิกในปี 1978 และถูกนำมาใช้ในประเทศอาณานิคมบางประเทศ

      การประหารชีวิตโดนการบีบปลอกคอเหล็ก โดยปกติแล้วจะประกอบด้วยที่นั่งนักโทษตามภาพเราจะเห็นว่ามี ที่นั่งนี้มีจุดล็อกต่างๆ เพื่อไม่ใช้นักโทษดิ้นรนหรือหนีได้ และที่น่ากลัวคือปลอกโลหะที่อยู่บริเวณคอของนักโทษ ที่มันจะล็อกคอนักโทษ จากนั้นสังเกตว่าข้างๆ ปลอกคอจะมีที่สลักเกลียวเหมือนที่ หมุนน้ำแข็งใส เพชฌฆาตจะใช้สลักนี้หมุนไปหมุนมา ปลอกคอก็จะเริ่มแคบลงแคบลงๆ เข้าหากัน ทำให้คอของนักโทษบีบอัดอึดอันทรมานมากจนขาดใจตายอย่างน่าสงสาร และถ้าหมุนไปเรื่อยหัวอาจขาดอย่างน่าชื่นชม บางรุ่นอาจมีอัพชั่นเสริมเช่นมีกระชอนโลหะใช้กดกระดูกสันหลัง ทำลายคอ หรือใช้เดือยแหลมตอกร่างกายที่เรียกว่า “Catalan Garrote” การประหารโดย Garrote ครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นที่อันดอร์รา 1977 โดยนักโทษประหารรายสุดท้ายคือ Jose Luis Cervto


5 สัตว์ยักษ์ที่น่าขยะแขยงบนโลกใบนี้



5. หอยทากยักษ์แอฟริกา (Gian Africa Snail)



       หอยทากยักษ์แอฟริกา (Gian Africa Snail) เป็นหอยหอยทากบก ขนาดที่ใหญ่ที่สุดน้ำหนัก 900 กรัม ความยาววัดจากหางถึงปลายจมูก 39.3 เซนติเมตร และเฉพาะเปลือกมีขนาด 27.3 เซนติเมตร มีถิ่นกำเนิดในประเทศแถบร้อน เช่น อินเดีย และในประเทศไทยก็แพร่พันธุ์จำนวนมากแถวภาคใต้

       หอยชนิดนี้จะชอบอากาศค่อนข้างชื้น ออกหากินในเวลากลางคืน สามารถกินพืชได้กว่า 100 ชนิด เมื่ออายุ 5 ถึง 8 เดือน มันจะเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ และชอบวางไข่ตามซากกองใบไม้ หรือขอนไม้ที่ผุ หรือใต้ผิวดินที่ร่วนซุยและชื้น วางเป็นกลุ่มๆ กลุ่มละ 200-300 ฟอง ตัวหนึ่งจะวางไข่ได้ปีละประมาณ 1,000 ฟอง...และมันจะมีอายุเฉลี่ยยืนถึง 5 ปี

       ในช่วงฤดูฝนมันจะกินอาหารได้มากและเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่พอถึงฤดูแล้งมันก็จะหดตัวเข้าอยู่ในเปลือก แล้วสร้างแผ่นสีขาวบาง (epiphragm) ปิดไว้ เป็นการพักตัวและอยู่ได้นานตลอดฤดูกาล...คล้ายกับจำศีล

       สมัยสงครามโลก ทหารเยอรมันเอาหอยทากยักษ์แอฟริกานี้มาทำเป็นอาหาร ก็คงจะเป็นจริงอย่างนั้น) จึงได้มีการบันทึก ยืนยันการเป็นอาหาร ว่า...ประเทศไต้หวันมีการนำหอยทากยักษ์แอฟริกานี้แช่แข็งและส่งออกไปที่ยุโรป และ อเมริกา...



4. ไส้เดือนยักษ์คินาบาลู (Kinabalu giant earthworm)



       เป็นสัตว์จำพวก Annelid มีสีเทาออกน้ำเงิน พบได้เฉพาะแถบยอดเขาคินาบาลูบนเกาะบอร์เนียว เมื่อโตเต็มที่จะมีความยาวราว 70 ซม. อาศัยอยู่ในโพรงในดินที่หนานุ่มบนระดับความสูง 3,000 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ผิวหนังปกคลุมด้วยขนขนาดเล็กที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ทำให้ผิวเป็นเงามันสีเหลือบออกเขียว ศัตรูนักล่าตามธรรมชาติของไส้เดือนชนิดนี้คือ ปลิงแดงยักษ์คินาบาลู ซึ่งเป็น annelid ขนาดใหญ่อีกชนิดหนึ่ง สัตว์ทั้งสองชนิดนี้พบเห็นได้เฉพาะเวลาฝนตกหนักหรือหลังฝนหยุดตกไม่นาน



3. แมงมุมยักษ์ทาแรนทูล่า พันธุ์กินนกโกไลแอธ (Goliath Bird-eating Spider; Theraphosa blondi)



       แมงมุมยักษ์ทาแรนทูล่า พันธุ์กินนกโกไลแอธ หรือชื่อวิทยาศาสตร์ Theraphosa blondi แมงมุมโกไลแอท เป็นหนึ่งในแมงมุมทารันทูล่า ( Tarantula ) เป็นแมงมุมที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่มาของชื่อ โดยชื่อแมงมุมกินนก นั้นมาจากตอนที่ Victorian era ที่ค้นพบมันตอนที่กำลังกินนก ฮัมมิงเบิร์ด ( Hummingbird ) เป็นแมงมุมที่มีพิษ(แต่ไม่อันตรายถึงชีวิต) มีขนาดที่ใหญ่ที่สุด มีขนาดตัวที่ใหญ่โตถึง 9 เซนติเมตร และถึง 25 เซนติเมตรเมื่อรวมขาที่กาง น้ำหนักมากกว่า 120 กรัม อาหารของพวกมันมีตั้งแต่แมลงเล็กๆ ไปจนถึงสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็ก สัตว์เลื้อยคลานพวกกิ้งก่า งู รวมทั้งลูกนกที่อยู่ในรังด้วย ส่วนใหญ่จะพบทาแรนทูล่าชนิดนี้ตามป่าดงดิบตามแนวฝั่งของประเทศซูรินัม กายอานาและเฟรนช์เกียนา โดยจะอาศัยอยู่ในโพรงใต้ดิน



2. ปูแมงมุมญี่ปุ่น (The Japanese spider crab)



       ปูแมงมุมญี่ปุ่นมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Macrocheira kaempferi จัดอยู่ในวงศ์ Majidae ปูชนิดนี้มีชื่อเรียกเป็นภาษาญี่ปุ่นว่าทาคาชิกามิ (takaashigami) แปลว่า ปูขายาว เป็น ปูที่ตัวใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยขนาดตัวเมื่อโตเต็มที่ เมื่อวัดความกว้างเมื่อกลางขา กว้างได้ถึง 4 เมตร กระดองกว้าง 37 เซ็นติเมตร และมีน้ำหนักตัว 20 กิโลกรัม ลำตัวมีสีส้ม มีจุดแต้มสีขาว มีขา 8 ขา และก้าม 2 อัน ถิ่นที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติ ที่มหาสมุทรแปซิฟิก ( Pacific Ocean ) ที่ความลึก 300 - 400 เมตร บริเวณรอบๆ เกาะญี่ปุ่น อาหารของปูแมงมุมญี่ปุ่น ก็จะเป็นพวกซากสัตว์ที่ตาย และพวกสัตว์มีเปลือก เช่น กุ้ง หอยต่างๆ ปูแมงมุมสามารถมีอายุยืนได้ถึง 100 ปี

       ปูนี้อาศัยอยู่ในน้ำลึกในระดับระหว่าง 30-50 เมตรหรือบางครั้งก็พบอยู่ในระดับลึกถึง 300 เมตร ในบริเวณทะเลนอกชายฝั่ง ด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศญี่ปุ่น ตั้งแต่เมืองคามาอิชิ (Kamaishi) ในเกาะฮอนชูลงไปทางทิศใต้จนถึงเกาะคิวชิวที่มีพื้นทะเล เป็นทรายหรือเป็นโคลน เนื่องจากมันทรงตัวได้ไม่ดีนัก จึงต้องอาศัยอยู่ใน บริเวณน้ำนิ่ง และเป็นปูที่หายาก แต่กระนั้นก็นิยมใช้เนื้อเป็นอาหาร ในหมู่ชนชาวญี่ปุ่น แต่นับว่ามีอันตรายพอสมควร เพราะเป็นปูขนาดใหญ่ มีก้ามหนีบที่อาจหนีบทำให้เกิดบาดแผลที่สาหัสกับมนุษย์ได้


1.แมงกะพรุน (jellyfish)



       ที่บอร์โดซ์ ประเทศฝรั่งเศสเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 1988 อองรี เบแซล ช่างซ่อมวัยกลางคนได้รับแจ้งกับตำรวจว่า

       “ขณะที่ลูกสาวของผมกำลังว่ายน้ำอยู่ในทะเล ทันใดนั้นเธอก็ส่งเสรียงกรีดร้องขึ้น พี่ชายของเธอจึงว่ายไปหาเพื่อจะดูว่าอะไรเกิดขึ้นกับเธอและแอลานา ภรรยาของผมก็ตามไปด้วยอีกคน แล้วทุกคนก็ส่งเสียงร้องขึ้นพร้อมๆ กัน ผมก็ว่ายตามออกไปด้วย และพอเข้าใกล้พวกเขา ผมก็เห็นสัตว์ยักษ์น่าสยองสยองตัวหนึ่ง มันเป็นแมงกะพรุนยักษ์ขนาดราวๆ รถเก๋ง และมันกำลังดูดพวกเขาทั้งหมดเข้าไป....มันจมกลับลงไปในน้ำพร้อมกับเอาครอบครัวผมไปด้วย”

       ตำรวจฝรั่งเศสไม่เชื่อเรื่องนี้และจับเขาข้อหากระทำฆาตกรรมบุตรและภรรยา แม้พนักงานสอบสวนจะพยายยามซักไซ้ไล่เรียงอน่างไร แบแซลยังยืนยันประโยคเดิม และเครื่องจับเท็จก็แสดงผลว่าเขาพูดจริง

       ในท้องทะเลอันกว้างใหญ่นั้นต่างเต็มด้วยสัตว์ยักษ์มากมาย ไม่ว่าจะเป็น หมึกยักษ์ ฉลามยักษ์ งูทะเลยักษ์ ส่วนแมงกะพรุนยักษ์นั้นเราไม่ค่อยได้ยินนัก เพราะเรามักรู้จักมันแบบจัวเท่าฟุตบอลแล้วมานอนเกยตื้นอยู่ที่ชายหาดมากกว่า

       แมงกะพรุน จัดอยู่ในประเภทสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง ไฟลัมไนดาเรีย ลักษณะลำตัวใสและนิ่มมีโพรงทำหน้าที่เป็นทางเดินอาหารมีเข็มพิษไว้ป้องกันและจับเหยื่อ เมื่อโตเต็มวัย ส่วนประกอบหลักในลำตัวเป็นน้ำ 94-98% ด้านบนเป็นวงโค้งคล้ายร่ม ด้านล่างตอนกลางเป็นอวัยวะทำหน้าที่กินและย่อยอาหาร พบได้ในทะเลทุกแห่งทั่ว

       แมงกระพรุนที่ใหญ่ที่สุดในโลกนั้น คือกะพรุนผมสีโต(Lion’s mane jellyfish : Cyanea Capillata) พบในปี 1865 ที่อ่าวแมสซาซูเสตส์ มันมีร่มหรือหมวกกว้างถึง 2.28 เมตร และหนวดยาวถึง 36.5 เมตร แบะถ้าแผ่ไปรอบๆ แล้วมันจะกว้างถึง 70 เมตร(เกือบเท่าสนามฟุตบอล)ที่เดียว แต่นี้ไม่อาจขนาดใหญ่ที่สุด

       เจมส์ สวีนเนย์ ได้เขียนเหตุการณ์ระทึกที่เกิดขึ้นในเดือนมกราคมที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนมกราคม ปี 1973 เอาไว้ว่า ระหว่างที่เรือ กูรันดา(Kuranda) ระวางขับน้ำ 1483 ตัน แล่นจากออสเตรียไปเกาะฟิจิ เรือได้เผชิญกับทะเลที่คลื่นลมปั่นป่วนเป็นอย่างมาก และขณะที่พยายามประคองนำเรือฝ่าคลื่นไปได้นั้น ลูกเรือก็ประหลาดใจเมื่อเขาชนอะไรบางอย่างใต้ผิวน้ำ พวกลูกเรือพบว่ามันเป็นแมงกะพรุนยักษ์ใหญ่มหึมาติดหัวเรือ ตัวมันหนึกราว 20 ตัน แผ่หลาอยู่เต็มดาดฟ้าเรือ หนวดเต็มไปด้วยเข็มพิษเห็นแล้วน่าขนลุก มันไม่ต่างอะไรจากหัวของเมดูซ่าที่มีผมเลื้อยกันยั้ยเยี้ย

       หากไม่นับพวกสัตว์เซลล์เดียวกัน แมงกะพรุนจัดว่าเป็นสัตว์ดึกดำบรรพ์ที่ดึกดำบรรพ์ที่สุด มันเกิดบนโลกเมื่อกว่า 650 ล้านปีมาแล้ว มันไม่มีสมอง ไม่มีกระดูกสันหลัง ไม่มีตา แต่มันสามารถรอดชีวิตจากการเปลี่ยนแปลงของโลกครั้งแล้วครั้งเล่า และสิ่งที่รอดพ้นจากอันตรายทั้งปวงคือเข็มพิษที่เมื่อสัมผัสมันเข้าไปจะพุ่งออกมาเหมือนแทงด้วยฉมวกเล็กๆ แต่ก็ใช่ว่าทุกชนิดจะมีพิษเสมอ จาก 250 ชนิด มี 70 ชนิดที่มีพิษระดับความรุนแรงต่างกัน แมงกะพรุนไฟสายพันธุ์ที่มีพิษร้ายแรงที่สุดในโลก มีชื่อภาษาอังกฤษเรียกว่า "Portuguese man-of-war" (แมงกะพรุนหมวกโปรตุเกส)

       ที่ฟิลิปปินส์ระบุว่ามีผู้ตายเพราะเข็มพิษของมันประมาณปีละ 20-50 คน
       

       อีริค แฟรงค์ รัสเซลล์ เล่าถึงความน่ากลัวของกะพรุนไว้ในหนังสือ Great World Mysteries ของเขาว่า เมื่อต้นๆ ของทศวรรษที่ 50 ที่ผ่านมา ได้มีนักดำนำผู้หนึ่งไปดำน้ำชมปลาอยู่แถวเกาะทางแปซิฟิกใต้ รักดำน้ำผู้นั้นได้ว่ายน้ำตามปลาฉลามใหญ่ไปห่างๆ และหยุดลงเมื่ออยู่ที่ปลายชายลาดใต้ท้องน้ำ ถัดจากตรงนั้นออกไปพื้นดินใต้ท้องทะเลหักชักลึกลงไปมาก เขาไม่คิดจะไปต่อ ได้แต่ลอยตัวเฝ้ามองฉลามอยู่นิ่งๆ แค่นั้น นักดำน้ำได้เล่าว่า

       “ทันใดนั้น อยู่ดีๆ ทะเลก็เย็นขึ้นมาเฉยๆ อย่างรวดเร็ว ผมเห็นอะไรอย่างหนึ่งใหญ่มากสีดำ ๆ ลอยขึ้นมาอย่างช้าๆ พอขึ้นมาบริเวณที่แสงส่องลงไปถึง ผมก็สามารถมองเห็นได้ว่ามันมีสีน้ำตาลตุ่มๆ และตัวโตมหาศาล รูปร่างของมันบรรยายไม่ถูกว่าลักษณะเป็นอย่างใด ดูว่าแบนๆ และมีขอบกะรุ่งกะริ่งกินพื้นที่ได้สักเอเคอร์ได้ มันขยับเป็นจังหวะช้าๆ และผมก็รู้ว่ามันเป็นสิ่งมีชีวิตแม้มันไม่มีแขนขาหรือดวงตาให้เห็นก็ตาม

       มันยังคงขยับตัวหุบเข้าหุบออกเป็นจังหวะอยู่อย่างนั้น สิ่งที่ดูน่ากลัวนี้ลอยตัวอยู่ขึ้นไปถึงตอนนี้ ความเย็นของน้ำเย็นจัดมาก ปลาฉลามตอนนี้หยุดนิ่งไม่เคลื่อนไหว เป็นอัมพาตไป จะด้วยความเย็นหรือความกลัวไม่แน่ ขณะที่ผมเผ้ามองอย่างสนใจนี้เจ้าสิ่งสีน้ำตาลใหญ่ก็ลอยเข้าหาฉลาม ผิวด้านบนของมันถูกลำตัวของปลาฉลาม ฉลามมีอาการสั้นกระดุกไปทั้งตัว แล้วก็ฝังจมเข้าไปในลำตัวของสัตว์นั้นโดยมิได้แสดงอาการขัดขื่นแต่อย่างใด

วันพฤหัสบดีที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2556

5 อาหารสุดหรูที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นอาหารชั้นต่ำ



อันดับ 5 กุ้งมังกร



        แทบไม่น่าเชื่อว่าเจ้ากุ้งมังกรอาหารแสนแพงนั้น ในสมัยก่อนจะเป็นอาหารชั้นต่ำไปได้ ว่ากันว่า ครั้งหนึ่งในทวีปอเมริกาเหนือนั้นมีกุ้งมังกรอยู่เป็นจำนวนมาก แต่เหล่าผู้คนต่างมองพวกมันเป็นส่วนเกิน ไม่มีค่า อีกทั้งยังเรียกกุ้งมังกรว่า “แมลงทะเล” จัดอยู่ในพวกเดียวกับแมงมุมยักษ์ ดังนั้นผู้คนจึงรังเกียจที่จะนำกุ้งชนิดนี้มาปรุงอาหาร จึงเอาไปทำเป็นปุ๋ยแทนโดยปริยาย อีกทั้งในสมัยนั้น ไก่ถือเป็นอาหารของชนชั้นสูง มากกว่าอาหารทะเล เมนูของคนจนจึงเต็มไปด้วยกุ้งมังกรนั่นเอง




อันดับ 4 หอยนางรม



          สาเหตุที่หอยนางรมแสนอร่อยนี้ถูกรังเกียจเดียดฉันท์นั้นมีหลายปัจจัย อย่างเช่น ชื่อเรียกของมัน เหมือนกันชื่อของเครื่องทรมาณนักโทษชนิดหนึ่งในยุโรป แต่สาเหตุสำคัญที่สุดที่โดนดูถูกว่าเป็นอาหารชั้นต่ำคือรูปร่างของหอยนางรมนั่นเอง เพราะรูปร่างของมัน....เหมือนอวัยวะเพศหญิงน่ะสิ ปัจจุบันหอยนางรมเป็นที่ต้องการของตลาดมาก แม้ว่าในบ้านเรา ราคายังจัดอยู่ในเกณฑ์ใช้ได้ แต่ในประเทศฝรั่งเศสถือว่าแพงมาก สงสัยพวกเขาคงลืมไปแล้วว่าเมื่อก่อนเคยดูถูกหอยนางรมเอาไว้ว่ายังไง.....




อันดับ 3 ฟัวกราส์ หรือ ตับห่าน




          เมนูสุดหรูอย่างตับห่านกลายเป็นอาหารชั้นต่ำในสมัยก่อนได้อย่างไรนั้น ว่ากันว่า ต้นกำเนิดของตับห่านไม่ได้อยู่ที่ฝรั่งเศส แต่เป็นอิยิปต์โบราณเมื่อกษัตริย์เมืองสปาตาพระองค์หนึ่งเสด็จเยือนประเทศอิยิปต์โบราณ ทรงสนพระทัยวิธีการเลี้ยงห่านเพื่อขุนอาหารประเภทนี้ จึงนำกลับมาเผยแพร่ในยุโรป แต่ชาวไร่ชาวนาในยุคกลางของฝรั่งเศสนั้นสนใจการเลี้ยงหมูมากกว่าการเลี้ยงสัตว์ปีก ดังนั้นวิธีการเลี้ยงห่านและทำฟัวกราส์จึงตกเป็นของชาวยิวแทน ส่วนเหตุง่ายๆที่ฟัวกราส์หรือตับห่านถูกมองเป็นอาหารชั้นต่ำ เนื่องจากชาวยุโรปนั้นรังเกียจและดูถูกชาวยิว ข้าวของหรือแม้แต่อาหาร หากมันเป็นของชาวยิวก็โดนดูถูกหมดแหล่ะ.....แหม ลึกซึ้ง




อันดับ 2 โปเลนต้า



          เพื่อนๆอาจไม่เคยได้ยินชื่อหรือคุ้นเคยกับอาหารชนิดนี้มากนัก ดังนั้นจึงของสรุปง่ายๆว่ามันคือ ข้าวโพดบด ใช้สำหรับทำซุป ขนม หรืออะไรได้หลายๆอย่าง ครั้งหนึ่งชาวอิตาลีตอนเหนือเคยดูถูกอาหารชนิดนี้ว่าจืดชืดไร้รสชาติ อีกทั้งรูปร่างยังน่าเกลียด สีเหลืองๆชวนแหวะ เหมือนอะไรสักอย่างที่ถูกขับออกมาจากร่างกาย (เดาออกไหมว่ามันคืออะไร) แต่ปัจจุบันอาหารชนิดนี้ เป็นที่นิยมและมีขายทั่วไปในอิตาลี เสียอย่างนั้น




อันดับ 1 ซูชิ



          จะเป็นไปได้อย่างไรที่เมนูเพื่อสุขภาพนี้จะกลายเป็นอาหารชั้นต่ำไปได้ แต่มันเป็นไปแล้ว จริงๆ ผู้คนที่ดูถูกซูชิ หาใช่คนญี่ปุ่นแต่อย่างใด กลับเป็นคนอเมริกันต่างหาก อย่างที่รู้กันว่าชาติตะวันตกไม่บริโภคข้าวเป็นอาหารหลัก พวกเขาต่างมองว่าข้าวคือ ธัญพืช ดังนั้นจึงรับไม่ได้ที่จะมองเจ้าก้อนข้าวดองน้ำส้มสายชูและเนื้อปลาดิบๆนี่ว่าเป็นอาหาร ต้องใช้เวลานานทีเดียวกว่าอาหารญี่ปุ่นจะเป็นที่นิยมขึ้นมาได้ แถมยังมีประโยชน์ยิ่งกว่าอาหารฟาสฟูดของอเมริกาเสียอีก


วันอังคารที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2556

5 สิ่งประดิษฐ์... ที่ค้นพบโดยบังเอิญ... แต่เปลี่ยนโลกได้อย่างไม่น่าเชื่อ



         เชื่อหรือไม่หลายสิ่งที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้ เป็นผลจากความผิดพลาดโดยแท้โดยความผิดพลาดที่โด่งดังเป็นที่รู้จักมากที่สุดคือ การค้นพบทวีปอเมริกาของคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส


 อันดับ 5 เตาไมโครเวฟ (The Microwave Oven)




        เตาไมโครเวฟ คลื่นไมโครเวฟ ที่ใช้ในการอบข้าวโพดคั่วร้อนๆ นี้  ครั้งหนึ่งเคยเป็นอาวุธสงครามมาก่อน เพอร์ซี สเปนเซอร์ (Percy LeBaron Spencer) เป็นวิศวกรทำงานด้านเทคโนโลยีเรดาร์ในบริษัทเรธีออน (Raytheon) ตอนนั้นเขากำลังประดิษฐ์แมกนีตรอนสำหรับระบบเรดาห์เพื่อใช้ในสงครามโลกครั้งที่ 2 จนกระทั้งวันหนึ่งในขณะที่เขากำลังทำงานอยู่กับเรดาร์อยู่นั้น เขาเกิดสังเกตซ็อกโกแลตในกระเป๋าเสื้อของเขาเกิดละลาย ซึ่งแทนทีเขาจะคิดว่าอากาศร้อนมั้งที่ทำให้ละลาย เขากลับคิดว่าต้องมีรังสีที่ล่อนหนแน่ๆ เลยที่ทำให้ มันสุก” ทันใด


       และแล้วเขาก็เริ่มทดลอง โดยอาหารชนิดแรกที่อบโดยตู้อบไมโครเวฟ คือ ข้าวโพดคั่ว และ ชนิดที่สองคือ ไข่  ผลทดลองปรากฏว่าได้ข้าวโพดคั่วอร่อยหอมกรุ่น ส่วนไข่นั้นเกิดระเบิดตูม!!! ในปี ค.ศ. 1946 เรธีออน ได้จดสิทธิบัตรกระบวนการใช้คลื่นไมโครเวฟในการอบอาหาร ต่อมาในปี ค.ศ. 1947 เรธีออกก็ได้ผลิตเตาอบไมโครเวฟเครื่องแรก เพื่อการพาณิชย์ ชื่อ Radarange ซึ่งมีขนาดใหญ่ สูงถึง 6 ฟุต (1.8 เมตร) และ หนัก 750 ปอนด์ (340 กิโลกรัม) ซึ่งสูงกว่าเตาอบไมโครเวฟที่เราใช้กันทุกวันนี้ ถึง 3 เท่า การประดิษฐ์นี้ประสบความสำเร็จทางการตลาดมาก และพัฒนาจนเป็นเตาไมโครเวฟที่ใช้ในครัวเรือนจนถึงทุกวันนี้



อันดับ 4 กาวตราช้าง (Krazy Glue and/or Super Glue)



          เรื่องราวของกาวตราช้างหรือไซยาโนอะคริเลต (cyanoacrylate)ไซยาโนอะคริเลตเป็นหนึ่งในสารยึดติด เริ่มขึ้นในปี 1942 แฮร์รี คูเวอร์ (Harry Coover)และอีสต์แมน โคแด็ก (Eastman Kodak) กำลังทำงานในโกดังของบริษัทอาวุธแห่งหนึ่ง (น่าจะใช่) งานของพวกเขาคือวิจัยค้นคว้าการผลิตเลนส์พลาสติกสำหรับลำกล้องของอาวุธปืนเพื่อใช้ในสงครามโลกครั้งที่ 2 

          การทำงานดันผิดพลาดเล็กน้อยเมื่อวัสดุที่พวกเขาสร้างขึ้นกลายเป็นว่าทำให้เครื่องมือและอุปกรณ์ที่เคยบรรจุหรือจับวัสดุนั้นยึดติดกันหมด และไม่ได้แก้ปัญหาเรื่องเลนส์เลย

         ไซยาโนอะคริเลตออกขายสู่ตลาดอุตสาหกรรมเป็นครั้งแรกในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1955 โดยใช้ชื่อผลิตภัณฑ์ว่า แฟลชกลู (Flash Glue) ซึ่งยังคงมีการขายอยู่กระทั่งปัจจุบัน

         ไซยาโนอะคริเลตในฐานะกาวแบบแห้งเร็วได้รับการจดสิทธิบัตรในปี ค.ศ. 1956 และออกขายสู่ตลาดผู้อุปโภคบริโภคในชื่อ อีสต์แมน 910 ใน ค.ศ. 1958 กาวชนิดใหม่นี้ได้แสดงประสิทธิภาพสู่สายตาสาธารณชนในรายการโทรทัศน์ I've Got a Secret โดยมีแกร์รี มัวร์ (Garry Moore) เป็นดารารับเชิญ ซึ่งมัวร์นั้นถูกดึงขึ้นกลางอากาศด้วยแผ่นเหล็กกล้าสองแผ่นโดยใช้ อีสต์แมน 910 เพียงหนึ่งหยดเท่านั้น



อันดับ 3 กระจกนิรภัย (Safety Glass)



        กระจกนิรภัยคือแก้วที่ใช้เป็นส่วนประกอบของรถยนต์และอาคารบ้านเรือน แนวคิดของกระจกที่แม้แต่กระสุนเจาะไม่เข้านี้ มาจากอุบัติเหตุแท้ๆ เมื่อค.ศ.1903 นักเคมีชาวฝรั่งเศสชื่อว่า นายเฮ็ดวาร์ด เบเนดิกตัส (Edouard Benedictus) ชายคนหนึ่งที่ทำงานคล่องแคล่วก่อนที่จะมาสะดุดเมื่อเขาเกิดไปชนแก้วทดลองตกลงพื้น ขวดแก้วแตก แต่เหลือเชื่อเมื่อเขาสังเกตว่าชินส่วนของขวดแก้วกลับไม่แตกกระจายจากกันเลย

        เบเนดิกตัสแปลกใจในสิ่งที่เห็นตรงหน้า เขาจึงวิเคราะห์ทันที จึงรู้ว่าขวดแก้วนี้ก่อนตกแตกนั้น ได้บรรจุสารละลายของพลาสติกเหลว ซึ่งสารนี้ได้ระเหยไปในอากาศช้าๆ คงทิ้งพลาสติกเคลือบแก้วเอาไว้

        เบเนดิกตัสนำผลการค้นคว้านี้ไปเสนอให้บริษัทรถยนต์แห่งหนึ่ง ให้สร้างกระจกหน้าของรถเป็นกระจกเคลือบพลาสติก เพื่อช่วยลดอันตรายจากการอุบัติเหตุ แต่บริษัทรถยนต์แห่งนั้นไม่สนใจ เพราะคิดว่าอุบัติเหตุเป็นเรื่องของคนขับรถไม่ใช่เรื่องของบริษัท อีกอย่างทางบริษัทก็ไม่ต้องการเพิ่มค่าใช้จ่ายในการลงทุน

        ผลการค้นคว้าของเบเนดิกตัสเกือบลงหลุมแล้วแท้ๆ ถ้าไม่เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ขึ้น เมื่อกองทัพสหรัฐอเมริกาได้นำสารเคลือบพลาสติกมาเคลือบหน้ากากทหารเพื่อป้องกันหน้ากากแตก  นั่นแหละบริษัทรถยนต์แห่งนั้นจึงได้ตระหนักถึงความผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่ และสนใจเรื่องกระจกนิรภัยอีกครั้ง จนพวกมันถูกนำมาติดกับรถใน ค.ศ.1918 และช่วยผู้คนนับหมื่นๆ ล้านรอดพ้นจากอุบัติเหตุจนถึงถึงปัจจุบัน 




 อันดับ 2 เพนนิซิลิน (Penicillin)

 

       อเล็กซานเดอร์ เฟลนมิง (Alexander Fleming ) นักวิจัยชุลชีววิทยาชาวสก็อต เขาอาจเป็นคนขี้หลงขี้ลืมนิดหน่อย แต่กระนั้นเขาก็เป็นคนแรกที่ค้นพบสิ่งสุดยอดที่รู้จักกันมากที่สุดในศตวรรตที่ 20 นามเพเนซีลีนหรือยาปฏิชีวนะ

       ในวันนั้นเป็นปี ค.ศ.1928 ที่ประเทศอังกฤษ ในขณะที่อเล็กซานเดอร์ เฟลนมิงกำลังเพาะเชื้อแบคทีเรียสแตฟไฟไลคอกโคบนจานแก้วในห้องแล็บนั้น จู่ๆ เขาเกิดคิดได้ว่าเขาติดทำธุระบนชั้นสองเขาออกไปข้างนอกโดยลืมที่จะทำความสะอาดโต๊ะทำงานของเขาและลืมปิดฝาจานแก้วไว้ ทำให้เชื้อราชนิดหนึ่งที่เฟลนมิ่งเก็บไว้ บังเอิญปลิวลอยตามลมและตกลงบนจานเพาะนั้น

       วันรุ่งขึ้น เฟรนมิงพบว่าพื้นที่จุดหนึ่งบนจานว่างเปล่าไร้แบคทีเรียเมื่อวิเคราะห์ดูแล้วจึงรู้ว่าเพนนิซิลินในเชื้อราได้สังหารแบคทีเรียดังกล่าว 

 และนี้คือ การค้นพบยาปฏิชีวนะขนานแรกของโลกซะงั้น



 อันดับ 1 ไวอากร้า (Viagra)

 

       แรกเดิมทีเดียว ยาไวอากร้ามีชื่อสามัญว่า Sildenafil ทางแผนกวิจัยของบริษัทไฟเซอร์ได้ผลิตขึ้นมาเพื่อผลประโยชน์ในการรักษาโรค Angina (เจ็บหน้าอก เนื่องจากเส้นเลือดหล่อเลี้ยงหัวใจตีบตัน) เพราะยาตัวนี้ช่วยขยายเส้นเลือดทำให้เลือดไหลผ่านไปได้ แต่ผลการทดลองปรากฏว่า ตัวยาไม่ขยายเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจให้ผลดังเป้าหมาย แต่กลับไปขยายเส้นเลือดที่บริเวณองคชาตของผู้ชายทำให้เลือดไปคั่งบริเวณนั้น ยังผลให้เกิดการแข็งตัวอยู่นาน.............

       และนื้คือจุดเริ่มต้นของไวอากร้า

      นับจากนั้นเป็นต้นมาไวอากร้า กลายเป็นตัวยายอดนิยมที่มีสถิติการจำหน่ายสูงสุดนำหน้ายาขนานอื่นในสหรัฐอเมริกาเอง นับตั้งแต่การวางตลาดเมื่อวันที่ 10 เมษายน จนถึงสิ้นปี ค.ศ.1998 ประชาชนชาวอเมริกันซื้อยานี้หมดเงินมากกว่า 441 ล้านเหรียญดอลลาร์ บริษัทไฟเซอร์ (Pfizer) คาดว่ายอดจำหน่ายแต่ละปีในสหรัฐอเมริกาจะตกประมาณ 600 ล้านเหรียญดอลลาร์ และในทวีปยุโรปรวมทั้งแถบเอเชียคงมียอดขายใกล้เคียงกับจำนวนนี้เช่นกัน

วันจันทร์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2556

10 อันดับ เมืองที่เก่าแก่ที่สุดของโลก


10. Cahokia



       ว่ากันว่าเมืองชื่อเก๋นี้มีคนอาศัยอยู่สามหมื่นคนทีเดียว ตั้งอยู่ที่แถวรัฐอิลลินอยส์ แถวๆ อเมริกาเหนือ และเรียกได้ว่าเป็นเมืองแรก จริงๆ ของประเทศมหาอำนาจนี้ ที่นี่มีอารยธรรมริมฝั่งแม่น้ำมิสซิสซิปปี้เกิดขึ้น มีสถาปัตยกรรมต่างๆ มากมาย ที่บอกให้รู้ถึงความเจริญที่เคยมีมาในอดีต น่าสนใจมาก




9. Xi'an



       ซีอาน เป็นเมืองที่เข้มแข็ง และแข็งแกร่งมาก ที่เมืองนี้มีสิ่งที่น่าตื่นตาคือกองทัพของจิ๋นซีฮ่องเต้ ที่ถูกสร้างเป็นรูปปั้นกว่า 3,000 รูป ว่ากันว่าสุสานของพระองค์ก็อยู่แถวนี้ด้วย และถ้าหาเจอ ก็น่าจะมีสมบัติอยู่มากมายทีเดียว




8. Great Zimbabwe



       ที่อัฟริกานี้เอง เกิดเมืองก่อนพวกยุโรปเสียอีกแน่ะ เมืองนั้นชื่อว่าซิมบับเว เชื่อกันว่ามีอารยธรรมที่พร้อมมูลทุกอย่าง มีการพบหลักฐานของการสร้างรูปปั้น และสถาปัตยกรรมต่างๆ มากมายเป็นจักรวรรดิย่อยๆ เลยละ




7. Thebes



       เมื่อพูดถึงอียิปต์ คนมักคิดถึงไคโรเป็นหลัก แต่ว่าหัวใจหลักของที่นี่คือเมืองที่อยู่แถวแม่น้ำไนล์อย่าง ธีปส์ ที่เป็นเมืองหลวงมากว่า 4500 ปี มีวัดศักดิ์สิทธิ์อย่าง คาร์นัค และลัคซอร์ ที่เป็นที่รู้จักกันดี




6. Tenochtitlan



       เมืองแห่งตำนาน ที่เคยเป็นเมืองที่สวยที่สุดในโลกนี้ตั้งอยู่ที่เม็กซิโก ได้รับความเชื่อว่าเมื่อก่อนมีคนอาศัยถึงสามแสนคนทีเดียว และพวกสเปนก็อพยพเข้ามา นำอารยธรรมมากมายเข้ามาเผยแพร่ สืบต่อมาจนวันนี้




5. Cuzco



       เมื่อก่อนมีคำว่า All roads in the Incan empire lead to Cuzco ก่อนที่จะมาเป็น All roads lead to Rome เมืองแห่งนี้มีความเจริญ รุ่งเรืองอย่างมาก และเคยเป็นที่กล่าวถึงอย่างหนาหูทีเดียว




4. สวนลอยฟ้าแห่งบาบิโลน Babylon



       อันนี้เชื่อว่าไม่มีใครไม่รู้จักแน่ๆ เมืองบาบิโลน ที่มีประวัติศาสตร์ซับซ้อนซ่อนเงื่อนสุดๆ เป็นเมืองเก่าที่มีชื่อเสียงจริงๆ และมีจุดเด่นมาก เป็นหอคอยที่สูงเสียดฟ้า ขนาดใหญ่มหึมา




3. Constantinople



       คอนสแตนติโนเบิล เมืองที่จักรพรรดิเมื่อก่อนสร้างไว้ เพื่อมาอยู่อาศัยสลับกับโรม เมืองนี้จึงเป็นหนึ่งในเมืองหลวงที่มีชื่อเสียงที่สุด ทั้งใหญ่โต ร่ำรวยไปด้วยอารยธรรม มหาวิทยาลัย โบสถ์ ฯลฯ มากมายจริงๆ




2. Athens



       เอเธนส์ สถานที่เกิดของประชาธิปไตย ปรัชญา และโอลิมปิก ช่างเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงจริงๆ เลย และได้สร้างอะไรหลายๆ ตกทอด มาถึงชาวโลกมากมายด้วย มีทั้งวิหารพาเธนอนที่สวยงาม และมีสถาปัตยกรรมอื่นๆ ที่น่าชมจริงๆ ถึงแม้ว่าตอนนี้ ที่นั่นจะสลายไปก็ตาม แต่อิทธิพลที่ตกทอดมา ไม่เคยจางไปไหนเลยจริงๆ




1. Rome



       ท่านเคยได้ยินคำพูดที่ว่า "กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จภายในวันเดียว" ไหมครับ กรุงโรมคงจะมีอาณาจักรที่ใหญ่มากอย่างแน่นอน ที่นี่มีเรื่องราว,วัฒนธรรมที่หลากหลายอย่างมาก เคยเป็นจักรวรรดิที่รุ่งเรืองมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และมีอารยธรรมที่ก้าวไกลกว่าเมืองอื่นๆ ทั้งหมด ประชากรอยู่กันอย่างแสนสบาย เรียกว่าเป็นอีกเมืองที่ทั้งเก่าแก่ และมีชื่อเสียงมากที่สุดของโลก และที่นี่คือที่สุดของ 10 เมืองที่เก่าแก่ที่สุด